แนวข้อสอบกลศาสตร์
1. แอมมิเตอร์วัดกระแส อ่านเต็มสเกลได้ 10 A แต่ละช่วงแอมแปร์แบ่งออกเป็น 5 ขีด ในการวัดกระแสครั้งหนึ่งการเสนอผลการวัดข้อใดต่อไปนี้เหมาะสมที่สุด
1. 2 A 2. 2.4 A 3. 2.426 A 4. 2.45 A
เฉลย 4. 2.45 A
จากภาพ แต่ละช่วงแอมแปร์แบ่งเป็น 5 ช่องเล็ก แสดงว่าอ่านได้ละเอียดถึงทศนิยมตำแหน่งที่หนึ่งและจะประมาณด้วยสายตาอีกหนึ่งตำแหน่ง (เป็นสิทธิของผู้ว่าจะให้เป็นเท่าไร) ดังนั้นจึงตอบเป็นทศนิยม 2 ตำแหน่ง 2.45 A
2. ถ้าต้องการวัดความต่างศักย์ของถ่านไฟฉายก้อนหนึ่งด้วยโวลต์มิเตอร์แบบเข็มซึ่งสามารถอ่านค่าได้เต็มสเกล เท่ากับ 5 V และมีสเกลละเอียดที่สุดเท่ากับ 0.1 V
ข้อใดต่อไปนี้แสดงการอ่านความต่างศักย์ของถ่านไฟฉายที่เหมาะสมที่สุด
1. 1.5 V 2. 1.55 V
3. 1.552 V 4. 1.5520 V
เฉลย 2. 1.55 V
ในการบันทึกด้วยตัวเลขของการวัด จะต้องแสดงข้อมูลเกี่ยวกับความละเอียดของเครื่องมือที่ใช้ตามขีดสเกลที่มีอยู่แล้วเพิ่มตัวเลขการคาดคะเนด้วยสายตาซึ่งสเกลไม่สามารถบอกได้ไปอีก 1 ตำแหน่ง แม้ว่าจะเป็นศูนย์ก็ตาม การบันทึกผลการวัด มีรูปแบบการบันทึกดังนี้
ผลการวัด = .
ค่าที่แน่นอน ค่าที่ประมาณด้วยสายตา (เดา)
สำหรับข้อนี้โวลต์มิเตอร์มีสเกลละเอียดที่สุดเท่ากับ 0.1V คือมีสเกลละเอียดถึงทศนิยมตำแหน่งที่หนึ่ง ดังนั้นในการบันทึกผลการวัดจะต้องเพิ่มตัวเลข ของการคาดคะเนเข้าไป 1 ตำแหน่ง คือบันทึกผลการวัดให้ถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 2 ดังนั้นความต่างศักย์ของถ่านไฟฉายที่เหมาะสมจึงมีค่าเป็น 1.55 V
3. เหล็กแท่งหนึ่งมวล 47.0 g มีปริมาตร 6.0 cm3 ถามว่าตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับค่าความหนาแน่นของแม่เหล็กแท่งนี้เป็นเท่าไร
1. 7.8 g/cm3 2. 7.83 g/cm3
3. 7.833 g/cm3 4. 7.8333 g/cm3
เฉลย 1. 7.8 g/cm3
การคูณ,หารคำตอบนับตามเลขนัยสำคัญน้อยที่สุด ในข้อนี้คือ 6.0 ซึ่งมีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว คำตอบที่ถูกต้องคือ 7.8 g/cm3
4. กำหนดให้ T เป็นแรงตึงในเส้นเชือกมีหน่วยเป็น N หรือ และ
เป็นมวลของเชือกต่อหน่วยความยาว มีหน่วย เป็น
ปริมาณ
มีหน่วยเดียวกับปริมาณใด
1. ความเร็ว 2. พลังงาน
3. ความเร่ง 4. รากที่สองของความเร่ง
เฉลย 1. ความเร็ว
ดูจากหน่วยมาหาราก =
=
หน่วย
ก็คือหน่วยของความเร็วนั่นเอง
5. เด็กคนหนึ่งเดินไปทางทิศเหนือได้ระยะทาง 300 m จากนั้นเดินไปทางทิศตะวันออกได้ระยะทาง 400 m ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 500 s เด็กคนนี้เดินด้วยอัตราเร็วเฉลี่ยเท่าไร
1. 0.2 m/s 2. 1.0 m/s
3. 1.4 m/s 4. 2.0 m/s
เฉลย 3. 1.4 m/s
เน้นนะคะ เน้นขีดเส้นใต้สองเส้นหนา ๆ ว่าอัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลา ดังนั้นไม่ต้องคิดทิศทางเอาปริมาณมาคิดได้เลย
6. วัตถุก้อนหนึ่งเดิมอยู่นิ่งกับที่ ต่อมามีความเร่งคงที่ขนาด m/s2 เป็นเวลา t s จากนั้นมีความหน่วงขนาด
m/s2 วัตถุนี้จะใช้เวลานานอีกเท่าใดนับจากถูกหน่วงจึงจะหยุด
1. 2.
3. 4.
เฉลย 1.
ช่วงแรก วัตถุหยุดนิ่งแล้วเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง เป็นเวลา t จนมีความเร็วเป็น
จาก
7. รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนที่จากหยุดนิ่งไปบนเส้นทางตรง เวลาผ่านไป 4 s มีความเร็วเป็น 8 m/s2 ถ้าอัตราเร็วเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ รถยนต์คันนี้มีความเร่งเท่าใด
1. 2 m/s2 2. 4m/s2
3. 12 m/s2 4. 14 m/s2
เฉลย 1. 2 m/s2
วาดรูปกันก่อน
(เอียงนิดนึงเพราะผมสายตาเอียงนะ แต่ความจริงดูให้เป็นพื้นราบแล้วกันนะ) ไม่มีอะไรเกินไปกว่าใช้สมการการเคลื่อนที่ที่มีความเร่ง
ความเร็วนี้เป็นความเร็วต้นของช่วงที่สอง
ช่วงที่สอง
วัตถุมีความหน่วงเมื่อแทนค่าในสมการให้มีค่าติดลบ
สมมุติหยุดที่
จาก
เวลาช่วงที่สอง
8. ถ้ากราฟการกระจัด x กับเวลา t ของรถยนต์ ก และ ข มีลักษณะดังรูป ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. รถยนต์ ก และ ข จะมีความเร็วเท่ากันเมื่อเวลาผ่านไป 2 นาที
2. รถยนต์ ก มีความเร็วไม่คงที่ ส่วนรถยนต์ ข มีความเร็วคงที่
3. รถยนต์ ก มีความเร่งมากกว่าศูนย์ ส่วนรถยนต์ ข มีความเร็วเท่ากับศูนย์
4. ทั้งรถยนต์ ก และ ข ต่างมีความเร่งเป็นศูนย์
เฉลย 4. ทั้งรถยนต์ ก และ ข ต่างมีความเร่งเป็นศูนย์
9. จากกราฟระหว่างระยะทางของการกระจัดในแนวเส้นตรงกับเวลาดังรูป จงหาความเร็วเฉลี่ยระหว่างเวลา 0 s ถึง 25 s
1. 15 m/s 2. 5 m/s
3. -5 m/s 4. 0 m/s
เฉลย 4. 0 m/s
ความเร็วเฉลี่ยคือระยะขจัดรวมในขณะนั้นส่วนเวลารวม
ที่ t = 25 s ระยะขจัดเป็นศูนย์
ดังนั้นความเร็วเฉลี่ยจาก 0 s ถึง 25 s เป็น 0 m/s
10. กราฟของตำแหน่งวัตถุบนแนวแกน X กับเวลา t เป็นดังรูป ช่วงเวลาใดหรือที่ตำแหน่งใดที่วัตถุไม่มีความเร่ง
เฉลย 1. ช่วง OA
กราฟระหว่างระยะทางกับเวลา ; ความชัน = ความเร็ว
ความชันในช่วง OA มีค่าคงที่ ดังนั้น ความเร่งจึงเป็นศูนย์
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)
ถาม – ตอบ โลหะวิทยา
************************
1. โลหะวิทยา (Metallurgy) หมายถึงอะไร
ตอบ หมายถึง ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโลหะ ซึ่งอธิบายถึงวิธีการแยกแยะแบ่งประเภทโลหะ กรรมวิธีการทำสินแร่ให้เป็นโลหะบริสุทธิ์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม ความรู้แขนงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับโลหะต่าง ๆ นอกเหนือไปจากนี้ วิชาโลหะวิทยายังศึกษาเกี่ยวกับ คุณสมบัติ, พฤติกรรม และโครงสร้างภายในของโลหะ เมื่อศึกษาทำความเข้าใจเสร็จแล้ว ก็สามารถนำมาใช้ประยุกต์ได้ ผลที่ได้จะสามารถสร้างคุณสมบัติที่เหมาะสมของโลหะเพื่อนำไปใช้งานเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. โลหะ จำแนกออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
3. โลหะจำพวกเหล็กแบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิดคือ
1.เหล็กดิบ
เหล็กดิบเป็นผลผลิต ที่ได้มาจากเตาสูง หรือเรียกว่า เตาบลาสต์เฟอร์เนซ (Blast Furnace) โดยการถลุงสินแร่เหล็ก ความร้อนที่ใช้ในการถลุงนั้นได้มาจากการเผาไหม้ของถ่านโค้ก (Coke) โดยมีลมร้อนเป็นสิ่งที่ช่วยในการเผาไหม้ ทั้งนี้เพื่อให้ได้อุณหภูมิสูงยิ่งขึ้น โดยให้ความร้อนสูงได้ถึง 3000 °F หรือประมาณ 1649 °C ซึ่งในระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ สามารถหลอมละลายสินแร่ต่าง ๆ ได้ และสิ่งสำคัญ อีกประการหนึ่งก็คือ สิ่งสกปรกซึ่งในกระบวนการหลอมละลายสินแร่ด้วยเตาสูงนั้น จะมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ซึ่ง เราเรียกว่า สแลก (Slag) ซึ่งต้องกำจัดออกจากน้ำโลหะ ก่อนนำโลหะนั้นไปเทลงสู่แบบหล่อสำหรับวัตถุดิบที่ใช้ถลุงเหล็กดิบนั้น ได้แก่ สินแร่เหล็ก หินปูน ถ่านโค้ก และเหล็กใช้ซ้ำ ซึ่งจะถูกบรรจุลงในเตาสูง
เหล็กหล่อเป็นเหล็กที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายมาเป็นระยะเวลานาน เหล็กหล่อคล้ายกับเหล็กกล้า (Steel) ก็ตรงที่เหล็กหล่อนั้นเป็นเหล็กที่มีธาตุคาร์บอนผสมอยู่เช่นเดียวกัน และสามารถศึกษาโครงสร้างจากแผนภาพสมดุล (Equilibrium Diagram)ใน รูป ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าปริมาณของคาร์บอนในเหล็กหล่อ จะมีมากกว่าในเหล็กกล้า คือมีคาร์บอนตั้งแต่ร้อยละ 2 % - 6.67 % ในอุตสาหกรรม เหล็กหล่อ โดยทั่วไปแล้ว จะมีคาร์บอนอยู่ ร้อยละ 2.5% - 4 % ถ้าปริมาณคาร์บอนมากกว่านี้เหล็กจะสูญเสียคุณสมบัติทางด้านความเหนียว (Ductility) คือเปราะ และแตกหักได้ง่ายเมื่อถูกแรงกระแทก ปกติ
เหล็กหล่อส่วนมากจะขาดคุณสมบัติทางด้านความเหนียวเมื่อเทียบกับเหล็กกล้าจึงไม่สามารถขึ้นรูปด้วยการรีดหรือการดึงขึ้นรูปที่อุณหภูมิสูงได้การขึ้นรูปเหล็กหล่อที่อุณหภูมิสูงนั้นทำได้ยาก แต่วิธีที่ใช้ในการขึ้นรูปถึงแม้ว่ารูปร่างจะซับซ้อน ก็สามารถทำได้ โดยการหลอมเหล็กให้ละลาย แล้วเทลงแบบหล่อที่ทำด้วยทราย หรือวัสดุทนความร้อน จึงได้ชื่อตามกรรมวิธีการขึ้นรูปว่า เหล็กหล่อ หลังจากหล่อ รูปร่าง ได้ใกล้เคียงกับขนาดที่ต้องการแล้ว จึงนำมาทำการกลึง ไส ตัด และเจาะ แม้ว่าเหล็กหล่อส่วนใหญ่จะให้คุณสมบัติความเค้นแรงดึงสูงสุด ต่ำ และขาดคุณสมบัติทางด้าน ความเหนียว แต่เหล็กหล่อมีราคาถูกว่า มีจุดหลอมตัวต่ำ สามารถขึ้นรูปได้รูปร่างง่ายกว่าเหล็กกล้า และยังสามารถปรับคุณสมบัติต่าง ๆ โดยการเติมธาตุผสมที่เหมาะสม และการอบชุบที่ดีจะทำให้ คุณสมบัติของเหล็กหล่อนั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างกว้างขวาง จนเหล็กหล่อบางชนิดมีคุณสมบัติใกล้ ้เคียงกับเหล็กกล้าทำให้ในการพัฒนาอุสาหกรรมเหล็กหล่อ เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งปริมาณการผลิตเหล็กหล่อ ก็เพิ่ม ปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหล็กกล้าเป็นเหล็กที่ถูกนำไปใช้ในงานต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้เนื่องจากเหล็กกล้านั้นมีคุณสมบัติในการรับแรงต่างๆ ได้ดี เช่น แรงกระแทก(Impact Strength) แรงดึง (Tebsile Strength) แรงอัด (Compressive Strength) และแรงเฉือน (Shear Strength) ซึ่งธาตุผสมส่วนใหญ่จะเป็นทั้งโลหะและอโลหะ เช่น โมลิบดินั่ม ทังสเตน วาเนเดียม เป็นต้น สำหรับกรรมวิธีทางความร้อนที่ทำต่อเหล็กกล้านั้น จะทำให้โครงสร้างเล็ก ๆ (Microstructure) ของเหล็กกล้าเปลี่ยนไป
4. เหล็กหล่อ แบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม อะไรบ้าง
ตอบ ชนิดของเหล็กหล่อโดยอาศัยลักษณะโครงสร้างพื้นฐานและลักษณะการรวมตัวของคาร์บอนเป็นหลัก แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.เหล็กหล่อสีขาว เป็นเหล็กหล่อที่มีคาร์บอนผสมอยู่ตั้งแต่ ร้อยละ 1.7 - 2 % ซึ่งคาร์บอนจะรวมตัวกับแม่เหล็กอยู่ ในรูปคาร์ไบด์หรือ ซีเมนไทต์ (Fe3C) ทำให้เหล็กมีความแข็งเปราะ แตกหักได้ง่าย เนื้อเหล็กจะมีสีขาว เหล็กหล่อขาวนี้จะมีความความแข็งอยู่ระหว่าง 380 – 550 HB ความแข็งนี้จะแปรเปลี่ยนไปตามธาตุผสมอื่นๆอีกด้วย เช่น โครเมียม หรือโมลิบดินั่ม
2.เหล็กหล่อสีเทาหรือเหล็กหล่อสีดำ เหล็กหล่อชนิดนี้จะมีโครงสร้างคล้ายกับเหล็กดิบ ซึ่งในบางครั้งสามารถผลิตเหล็กหล่อสีเทาได้จากเหล็กดิบ เหล็กหล่อสีเทาจะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับโลหะชนิดอื่น ทั้งยังตกแต่งขึ้นรูปได้ง่าย มีจุดหลอมเหลวต่ำ อัตราการขยายตัวมีน้อย ทนต่อแรงอัดและรับแรงสั่น (Damping Capacity) ได้ดี
3.เหล็กหล่อเหนียว เหล็กหล่อชนิดนี้ จะมีความเค้นแรงดันสูงทั้งยังมีความเหนียวและทนต่อแรงกระแทกได้ดี ในการทดสอบแรงดึงเหล็กหล่อเหนียวจะพบว่าคล้ายคลึงกับเหล็กกล้าคือ จะมีความยืดหยุ่น (Elastic) แต่จะไม่ปรากฏจุดคราก (Yield Point) นอกจากนั้นยังสามารถปรับปรุงคุณสมบัติทางกลโดยวิธีทางความร้อนได้ดีอีกด้วย
4.เหล็กหล่อผสมหรือเหล็กหล่อพิเศษ เหล็กหล่อชนิดนี้นอกจากมีคาร์บอนผสมอยู่แล้ว ยังมีธาตุอื่น ๆ ผสมเพิ่มเติมด้วย เช่น โครเมียม นิกเกิล และโมลิบดินั่ม เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อให้เหล็กหล่อชนิดนี้มีความแข็งขึ้น ทนทานต่อการเสียดสี ต้านทานแรงดึงและแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
5. โลหะนอกจำพวกเหล็ก แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิดดังนี้คือ
1.โลหะหนัก
2.โลหะเบา
3.โลหะผสม
6. โลหะหนัก หมายถึงอะไร
ตอบ โลหะหนัก หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นสูงกว่า 4 kg/dm3 ซึ่งโลหะหนักมีความสำคัญในงานอุตสาหกรรมอย่างมากและยังเป็นต้นกำเนิดโลหะผสมอีกหลายชนิดด้วยกัน
7. โลหะหนักที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ โลหะหนักที่นิยมใช้กันทั่วไป มีดังนี้
1.ทองแดง
ทองแดง มีความหนาแน่น 8.9 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 1,073 – 1,093° C และ ดึงเป็นเส้นได้ดีมาก นอกจากนั้นยังสามารถนำไฟฟ้าและความร้อนได้ด ีอีกทั้งยังทนต่อการสึกหรอ และทนต่อการกัดกร่อน ฟิล์มของทองแดงจะมีสีเขียวเรียกว่า พาตินา (Patina) ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการแทรกตัวของอากาศได้ดี แต่ถ้านำทองแดงไปใช้ทำเป็นภาชนะเก็บกรดน้ำส้ม จะเกิดสารประกอบที่มีพิษต่อร่างกายกรรมวิธีถลุงทองแดงมี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ กรรมวิธีแห้ง และกรรมวิธีเปียก นอกจากนี้ทองแดงยังสามารถแปรรูปด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น ทองแดงตีขึ้นรูป ทองแดงรีดขึ้นรูป เป็นต้นทองแดงสามารถนำไปใช้ทำสายไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้า หัวแร้งบัดกรี เครื่องประ
ดับต่าง ๆ หรืออุปกรณ์เครื่องเย็น และอุปกรณ์เครื่องกล เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถทำเป็นวัสดุผสม เช่น ทองเหลือบรอนซ์ เป็นต้น
2.เงิน
เงิน มีความหนาแน่น 10.5 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 960 °C เป็นโลหะมีสีขาวผิวเป็นมัน มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด มีราคาแพงเงินสามารถนำไปใช้ทำหลอดกลักฟิวส์และหน้าสัมผัสงานไฟฟ้า เครื่องวัดด้วยแสงที่ต้องการความเที่ยงตรงของสเกล เช่น กล้องโทรทัศน์ กล้องทีโอโดไลต์ (สำหรับวัดมุมระดับในงานก่อสร้าง) โลหะรูปพรรณ งานชุบเงิน เครื่องใช้ต่าง ๆ เงินตรา และใช้ผสมกับโลหะอื่น ๆ ทำเหรียญต่าง ๆ
3.ตะกั่ว
ตะกั่ว มีความหนาแน่น 11.2 kg/dm3จุดหลอมเหลว 327 °C เป็นโลหะที่มีความเหนียวและนิ่มขึ้นรูปได้ง่าย มีความหนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีจุดหลอมเหลวต่ำทนการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะกรด แต่สารประกอบของตะกั่วนั้นมีพิษต่อร่างกาย โดยปกติแล้วตะกั่วมักเกิดร่วมกับสังกะสีนอกจากนี้ตะกั่วยังมีคุณสมบัติเป็นตัวหล่อลื่นที่ดีอีกด้วย แต่ตะกั่วมีความแข็งแรงต่ำตะกั่วสามารถนำไปใช้ทำแผ่นตะกั่ว ในหม้อแบตเตอรี่ โลหะหุ้มสายเคเบิล ฉาบป้องกันกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ทำโลหะผสมต่างๆ ใช้ในงานอุตสาหกรรมทำสี ทำน้ำหนักถ่วงความสมดุล บุฝาผนังห้องและพื้นห้องเพื่อเก็บเสียงและลดการสั่นสะเทือนได้อีกด้วย
4.ดีบุก
ดีบุกมีความหนาแน่น 7.3 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 232 ° C ดีบุกเป็นโลหะที่มีสีขาวคล้ายเงิน มีจุดหลอมเหลวต่ำ เนื้อโลหะอ่อนและรีดเป็นแผ่นได้ง่าย อีกทั้งยังทนต่อการกัดกร่อนในบรรยากาศปกติได้ดี ไม่เป็นพิษจึงนำไปเคลือบแผ่นเหล็กทำกระป๋องบรรจุอาหาร และถ้านำแท่งดีบุกตัดโค้งงอเราจะได้ยินเสียงจากภายในเนื้อของดีบุก แต่ถ้าอุณหภูมิของแท่งดีบุกน้อย
กว่า18 ° C ดีบุกนั้นจะสลายตัวเป็นเม็ดป่นสีเทา ดีบุกนี้ถลุงมาจากสินแร่ดีบุกออกไซด์ สามารถนำดีบุกไปใช้เป็นโลหะบัดกรีแบริ่ง ทั้งยังใช้เคลือบแผ่นเหล็กเพื่อป้องกันการกัดกร่อน และใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า – อิเล็กทรอนิกส์
8. โลหะเบา หมายถึงอะไร ได้แก่อะไรบ้าง จงยกตัวอย่าง
ตอบ โลหะเบา หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า 4 kg/dm3 โดยทั่วไปได้แก่
9. โลหะผสม ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ โลหะผสม ได้แก่
-บรอนซ์
10. ความแข็งคืออะไร
ตอบ ความแข็ง คือ การต้านทานต่อการเสียรูปของวัสดุ หรือ ความต้านทานต่อการกระทำต่อวัสดุ เมื่อวัสดุสูญเสียความต้านทาน ก็จะก่อให้เกิด ความเสียหาย (Damaged), รอยบุ๋ม (Dent), ความเสื่อม หรือความทรุดโทรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลที่ได้จากแรง หรือความกดดันที่กระทำต่อวัสดุนั้น ในความต้องการที่จะรู้ค่าความแข็งของวัสดุ จำเป็นต้องหาเครื่องมือมาวัด เครื่องมือนี้จะสร้างรอยกดบุ๋มเป็นจุด บนพื้นผิว ด้วยแรงกดที่กระทำบนพื้นผิววัสดุที่ต้องการทราบความแข็ง
แนวข้อสอบวิศวเครื่องกล
1. การขันเกลียวฝาสูบที่ถูกต้องควรขันอย่างไร
1) เริ่มขันสลักเกลียวจากหน้าเครื่องไปท้ายเครื่อง
2) เริ่มขันสลักเกลียวจากด้านท้ายเครื่องไปทางหน้าเครื่อง
3) เริ่มขันสลักเกลียวจากตรงกลางออกไปด้านซ้าย-ขวา
4) เริ่มขันสลักเกลียวจากด้านนอกแล้วค่อยๆ ขับไล่เข้าตรงกลาง
เฉลย ข้อ3
แนวความคิด
ขันแบบกากบาท หรือตัว x เริ่มจากตรงกลางตรงกันแล้วไขว้ออกทั้ง 2 ด้าน
2. การถอดแหวนลูกสูบที่ถูกต้อง ควรถอดแหวนตัวใดก่อน
1) แหวนกวาดน้ำมัน
2) แหวนอัดตัวกลาง
3) แหวนอัดตัวบน
4) แหวนน้ำมันตัวบน
เฉลย ข้อ 3
แนวความคิด
แหวนลูกสูบมีจำนวน 3 ตัว ต่อ 1 สูบ แหวนตัวบนและตัวที่ 2(Top and 2nd Rings) ทำหน้าที่เป็นแหวนอัด (Compression Rings) สำหรับแหวนตัวที่ 3 เป็นแหวนน้ำมัน (Oil Rings) ทำหน้าที่กวาดน้ำมันหล่อลื่นที่เกินบริเวณผนังกระบอกสูบ ดังนั้นจึงเหลือน้ำมันเครื่อง ในห้องเผาไหม้ด้วยปริมาณที่จำเป็นสำหรับการหล่อลื่นเท่านั้น
3. ถ้าท่อรั่วไอดีของเครื่องยนต์แกโซลีนรั่วจะมีผลต่อเครื่องยนต์อย่างไร
1) ขณะเครื่องเดินเบาะรอบจะสูง
2) สิ้นเปลืองน้ำมันเชื่อเพลิง
3) ส่วนผสมจะบางลง
4) ส่วนผสมจะหนาขึ้น
เฉลย ข้อ 3
แนวความคิด
การทำงานของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน 4 จังหวะ
ในแต่ละรอบการทำงาน (cycle) เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ลูกสูบจะเคลื่อนที่ขึ้นลง 4 ครั้ง (ขึ้น 2 ครั้ง ลง 2 ครั้ง) โดยเพลาข้อเหวี่ยงหมุน 2 รอบ การที่ลูกสูบขึ้นลง 4 ช่วงชัก ทำให้เกิดการทำงาน 4 จังหวะ จังหวะการทำงานทั้ง 4 ของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน 4 จังหวะมีดังนี้
1. จังหวะดูด (Intake stroke) เมื่อลูกสูบเริ่มเคลื่อนที่ลง ส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศ (เครื่องยนต์ดีเซลจะดูดเฉพาะอากาศเพียงอย่างเดียว) จะถูกดูดเข้ามาในกระบอกสูบโดยผ่านลิ้นไอดี(intake vavle) ซึ่งเปิดอยู่ ฃิ้นไอดีจะปิดที่ประมาณปลายจังหวะดูด (ใกล้ศูนย์ตายล่าง)
2. จังหวะอัด (Compression stroke) เมื่อลูกสูบเริ่มเลื่อนขึ้น ลิ้นทั้งสองทั้งลิ้นไอดีและลิ้นไอเสีย(Exhaust valve) จะปิดส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศ (เครื่องยนต์ดีเซลจะเฉพาะอากาศเพียงอย่างเดียว) จะถูกอัดจนกระทั้งใกล้ศูนย์ตายบน ส่วนผสมจะถูกจุดโดยหัวเทียน (เครื่องยนต์ดีเซลน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกฉีดเข้ามาโดยหัวฉีด) การเผาไหม้จึงเริ่มขึ้น
3. จังหวะกำลัง , จังหวะระเบิด , (Power stroke) เมื่อลูกสูบเริ่มเลื่อนลงลิ้นทั้งสองยังคงปิดอยู่ แรงดันของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ จะกระแทกลงหัวลูกสูบ ผลักดันให้ลูกสูบเลื่อนลง จนกระทั้งใกล้ศูนย์ตายล่าง ลิ้นไอดีเสียจะปิด
4. จังหวะตาย , จังหวะไอเสีย (Exhaust stoke) เมื่อลูกสูบเริ่มเลื่อนขึ้น จะผลักดันให้ไอเสียค้างในกระบอกสูบ ออกไปภายนอกโดยผ่านลิ้นไอเสียที่เปิดอยู่ ลิ้นไอเสียยังคงเปิดอยู่จนกระทั่งลูกสูบเลื่อนผ่านศูนย์ตายบนไปเล็กน้อย จากนั้นจะเป็นการเริ่มจังหวะดูดในรอบการทำงานต่อไป
4. การประกอบหัวฉีดเข้ากับเครื่องยนต์ทุกครั้งต้องทำอย่างไร
1) หมุนเครื่องยนต์ให้ตรงกับตำแหน่งการฉีด
2) ให้หัวเป่าลมทำความสะอาดเครื่องล้างหัวฉีดบนฝากสูบ
3) เปลี่ยนแหวนรองหัวฉีดทุกครั้ง
4) เปลี่ยนไส้กรองที่ชุดฉีดทุกครั้ง
เฉลย ข้อ 1
แนวความคิด
หมุนเครื่องยนต์ให้ตรงกับตำแหน่งการฉีด
5. ชิ้นส่วนที่ใช้ป้องกันแก๊สและน้ำหล่อเย็นรั่วของเครื่องยนต์คือ
1) แหวนอัด
2) ปะเก็บฝาสูบ
3) ปะเก็บอ่างน้ำมันเครื่อง
4) ซิวก้านวาล์ว
เฉลย ข้อ 1
แนวความคิด
1) แหวนอัด = นี้ป้องกันการรั่วของส่วนผสมอากาศและเชื้อเพลิงและแก๊สที่เกิดจากห้องเผาไหม้ระหว่างจังหวะอัด และจุดระเบิดมิให้น้อยลงสู่ห้องเพลาข้อเหวี่ยงจำนวนแหวนอัดนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องยนต์ โดยทั่วไปลูกสูบหนึ่งลูกจะมีแหวะอัดสองตัว ซึ่งเรียกว่า “แหวนอัดตัวบน” และ “แหวนอัดตัวที่สอง” แหวะอัดจะมีลักษณะเป็นเทเปอร์ ดังนั้นขอบล่างของมันจึงสัมผัสกับผนังกระบอกสูบ กระออกแบบเช่นนี้เพื่อให้เกิดการสัมผัสที่แนบสนิทกันเป็นอย่างดี ระหว่างแหวนและ กระบอกสูบ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่กวาดน้ำมันเครื่องออกจากผนังกระบอกสูบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) ประเก็บฝาสูบ = ประเก็บฝาสูบป้องกันการรั่วของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ตามการจุดระเบิดของเครื่องยนต์
3) ประเก็บอ่างน้ำมันเครื่อง = มีหน้าที่เป็น ที่เก็บน้ำมันเครื่องไว้เพื่อใช้ในการหล่อลื่น โดยมีประเก็นเป็นตัวป้องกันการการรั่วระหว่างเสื้อสูบกับอ่างน้ำมันเครื่อง
4) ซิวก้านวาล์ว = เป็นชิ้นส่วนที่นำมาจากอลูมิเนียมมีหน้าที่ป้องกันการรั่วของน้ำมันเครื่องที่ใช้หล่อลื่น กระเดื่องวาล์ว
6. เครื่องยนต์ดีเซลถ้าปลอกนำลิ้นลึกจะเกิดอาการใด
1) ควันไอเสียมีสีดำ
2) เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง
3) กินน้ำมันเชื้อเพลิง
4) ควันไอเสียมีสีขาว
เฉลย ข้อ 1
แนวความคิด
1) ควันไอเสียมีสีดำ = ควันดำ เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกฉีดเข้าไปในห้องเผาไหม้ในขณะที่ปริมาณของปริมาณของออกซิเจนในห้องเปาไหม้มีไม่เพียงพอ จึงทำให้การเผาไหม้ไม่หมด อนุภาคของเชื้อเพลิงที่หลงเหลือเหล่านี้จะได้รับความร้อนแล้วกลายเป็นสภาพเขม่าที่ถูกปล่อยออกมาทางท่อไอเสีย
2) เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง = เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมันดีเซลที่ไม่สมบูรณ์ มีสาเหตุจาก
· หัวฉีดมีการอุดตัน ฉีดน้ำมันไม่เป็นฝอยละเอียด มีแรงดันผิดปกติจากค่ามาตรฐานที่กำหนด
· ปั้มดีเซลจ่ายน้ำมันผิดปรกติ มีแรงดันต่ำหรือสูงกว่ามาตรฐาน ทำให้จังหวะจุดระเบิดผิดปรกติ
· เทอร์โบบกพร่อง สร้างแรงดันและปริมาณอากาศน้อยกว่าปรกติ
3) กินน้ำมันเชื้อเพลิง = อาการเครื่องยนต์กินน้ำมันมากผิดปกติ มีได้หลายสาเหตุ
· ปั๊มดีเซลจ่ายปริมาณน้ำมันผิดปรกติ หรือมีการปรับแต่งปั๊มดีเซลให้จ่ายน้ำมันมาก
· หัวฉีดผิดปรกติ จ่ายน้ำมันไม่เป็นฝอยละเอียด มีค่าแรงดันต่ำกว่ามาตรฐาน หรือมีการปรับค่าแรงดันไม่ถูกต้อง
· เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง ทำให้ต้องใช้เกียร์ต่ำ ส่งผลให้ใช้เครื่องยนต์รอบสูง มำให้เครื่องยนต์สึกหรอสูงด้วย
4) ควันไอเสียมีสีขาว = ควันขาว เกิดจากอุณหภูมิที่ถูกอัดในห้องเผาไหม้มีต่ำเกินไป เชื้อเพลิงที่ถูกฉีดออกมาจากหัวฉีดจะระเหยกลายเป็นไอแต่เผาไม่หมด จึงถูกขับออกมาทางท่อไอเสีย หรือมีส่วนผสมของน้ำมันเครื่องปะปนอยู่
7. ทำหน้าที่หัวฉีด ได้แก่ข้อใด
1) จุดระเบิดในห้องเผาไหม้
2) ฉีดน้ำมันให้เป็นฝอยละอองในห้องเผาไหม้
3) สร้างแรงดันให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิง
4) สร้างแรงดันไฟฟ้าให้แก่ระบบ
เฉลย ข้อ 2
แนวความคิด
หัวฉีด = มีหน้าที่ฉีด น้ำมันให้เป็นฝอยละเอียด เข้าห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ละอองของน้ำมันดีเซลที่ละเอียดจะสามารถคลุกเคล้ากับอากาศได้ดี ทำให้น้ำมันถูกเผาไหม้ได้หมด ไม่มีเขม่าตกค้าง เครื่องยนต์ที่มีอายุการใช้งานมานาน จะเกิดคราบสกปรกที่หัวฉีด การฉีดของหัวฉีดไม่เป็นฝอยละเอียด แรงดันฉีดต่ำกว่ามาตรฐานหรือ หัวฉีดแต่ละตัวจ่ายน้ำมันไม่เท่ากัน มีผลให้น้ำมันเผาไหม้ไม่หมด เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง กินน้ำมันผิดปกติ
8. การขันโบลท์สูบควรใช้เครื่องมือตามข้อใด
1) ประแจปากตาย
2) ประแจแหวน
3) ประแจปอนด์
4) ประแจเลื่อน
เฉลย ข้อ 3
แนวความคิด
ประแจปากตาย ประแจปอนด์
ประแจแหวน ประแจเลื่อน
9.การใช้ประแจที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
1) ดังด้านประแจเข้าหาตัว
2) ดันด้านประแจออกจากตัว
3) ต่อด้ามประแจให้ยาวเพื่อให้ขันได้แน่น
4) ใช้ค้อนช่วยตอกด้ามประแจ
เฉลย ข้อ 1
แนวความคิด
การขันประแจไม่ว่าจะขันให้แน่นหรือคลาย ต้องใช้วิธีดึงเจ้าหาตัวเสมอและเตรียมพร้อมสำหรับปากกระแจหลุดขณะขันด้วย
10. การเติมน้ำในหม้อควรปฏิบัติอย่างไร
1) ต้องเติมน้ำยาผสมน้ำหล่อลื่นเย็นเสมอ
2) เปิดฝาหม้อน้ำเมื่อเครื่องยนต์เย็น
3) ระวังไม่ให้น้ำหกรดพ้นและถูกเครื่องยนต์
4) ใช้น้ำผสมกรดอ่อนๆ เติมหม้อน้ำ
เฉลย ข้อ 2
แนวความคิด
เปิดฝาหม้อน้ำเมื่อเครื่องยนต์เย็น ระวังอันตราย ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะจะได้รับอันตรายจากไอน้ำ ที่พุ่งออกมา และลออวัยวะต่างๆ ของผู้เปิดได้